Saturday, December 5, 2009

สู้ิยิบตา


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่น่าจดจำของการทำโปรเจค มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อผลักดันให้โครงการเดินไปข้างหน้า ก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆที่ขวางอยู่ ตั้งแต่วิธีการทำงาน แรงงาน ผู้รับเหมา การวางแผน แม้กระทั่งทำงานในในหยุด

ได้เห็นความพยายามของพี่คนนึง ในสายตามองว่าเป็นมืออาชีพในสายงาน ผลักดันอย่างสุดความสามารถ เห็นความเป็นมืออาชีพของทีมงาน ออกความเห็น โต้แย้ง รับฟังความเห็น เจรจา และสุดท้ายผู้ใหญ่ก็ตัดสินในอย่างเด็ดขาดและชัดเจน

ได้เห็นความ"ป๋า"ของพี่อีกคนนึง ผลักดันโดยกำลังภายใน ซึ่งอดที่จะคิดถึงไม่ได้ เพราะเค้ามีกำลังภายในทั้งภายนอกและภายในบริษัท ด้วยคอนเซ็ปของพี่คนนี้ว่า "ตำแหน่งผมไม่ใหญ่ แต่เพื่อนผมเยอะ"

สุดท้ายได้ความก้าวหน้าในส่วนของงานที่พูดคุย กันมากว่าสองเดือน ส่งผลให้ วันหยุดนี้ก็ทำงานตาม(ไม่)ปกติ

วันนี้เรายังมีความหวังว่าโครงการจะเสร็จภายในปีนี้(ไม่มากก็น้อย)

Tuesday, November 24, 2009

BKK Marathon

How can I say "successful" in marathon by spend more time than last time?

That's a point!

My last record in Pattaya Marathon is 5 hours 25 minutes. But this time in Bangkok Marathon is 5 hours 30 minutes. I can say success because the condition is difference. Last time in Pattaya, routing is in hill up and down along routing. But in Bangkok is quite flat. In Pattaya temperature is higher than Bangkok as well.

The difference point is partner. In Pattaya, I ran alone in crowd. But in Bangkok, I ran with my boss who induce and motivate me to marathon. Once a day, I sat on chair with exhaust, fat and lazy. I don't khow his idea to ask me to run.

Last 8 months, he ask me to join Pattaya Marathon. Unfortunatly, my boss got pain at his knee from training. So he could not join. I feel his feeling with friend who talk about training everyday but cannot make success.

After he recovery, he always say "I will beat you in Bangkok". I hope he can do it. Because he training harden than me. The 20km distance is his record in training that I never done in training before. We are try to control training in limit and avoid to pain.

The night before Bangkok Mrathon, I feel exciting that normal for me to marathon, the activity that I practice too many months. The passion of marathon in my idea is I don't know the body respond during the too long running, I just can prepare my body only.

Finally, we were in stating point together, we ran together, and we were finish together. It's difference from last time that I started alone, I ran alone, and I was finish alone. Although, I spend more time in marathon but I make new record in buddy marathon.


P.S. Dear boss, I'm sorry about my record. We were finish together in same time. But you started early than me in second. You spend time more than me. Your place is 1807 but my place is 1806. So you cannot me beat me in this time. Please try again.

Saturday, November 7, 2009

Time machine by internet


From the famous relative therory of Physics professor, his theory bring me back to the past time. I don't any Time machine as in movie. I just have internet and my broadband. Last hour, I back to my teenage period when I started to play basketball.


I ever try to find my favorite movie "The Air Up There" many time since I have BB internet in few year ago. I just success in yesterday. That look like my time machine just work and can bring me back to happiness memory.


The story of this movie is a coach who went to Affica to find a tribal basketball player. The normal climax in sport movie always is spirit. This movie has many short of spirit. And it has colorful of tribal lifestyle and basketball tactic.


Last month, my professor talking about the new theory after the internet was launched "The world is flat". The internet fulfill the gap of lenght and cost of communicate. Then any news in one place can suddenly known in another place that look like we can see around the world by no horizontal line.


I found that the internet can bring me to the past time with less gap of time and low cost of information. Anybody who want to see, read, listen the past information. Internet can suppport. Moreover if they want to know the future, just click to horoscope website, HAHAHA.

So I have individual concept to promote the internet benefit. It is not just only bring people over the horizontal line but also it can bring you over the time. So as my individual concept I cannot say only that "The world is flat" anymore because I feel to the condition of the time. At the moment, I don't have any appropriate word to for flatness of the world with past, present, and future condition .


Finally, I hope to imagine the luxuriously phrases for my new theory before I got any prize from this new theory.
Goodnight.

Friday, October 2, 2009

ให้เงินพ่อแม่ เพื่ออะไร?

ให้เงินพ่อแม่ เพื่ออะไร?


พอกราบคุณย่าเสร็จ ผมก็หันมาคุยกับอาจารย์ ถามว่าอาจารย์กำลังทำอะไรครับ
อาจารย์ตอบผมว่า กำลังตัดรายจ่ายอยู่ .. คุณทองคำ

ผมต้องจ่ายค่าแม่ครับ คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 300 บาท
รายได้กับรายจ่ายตอนนี้ มันไม่สัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง


ผมก็ทำหน้าที่ เป็น advisor ว่า “เงินเดือนที่ให้แม่เดือนละ 300 บาท ตัดได้นี่ครับ”

อาจารย์หันมามองหน้าผม…แล้วยิ้ม “ทำไมล่ะ”

ผมบอกว่า “อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดไว้ให้เรียบร้อย .. เสื้อผ้า อาจารย์ก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด เรียบร้อย… เจ็บป่วยไม่สบาย อาจารย์ ก็พาไปหาหมอให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นเงินเดือน 300 นี้ ตัดได้ครับ”

ท่านบอกว่า“ตัดไม่ได้เด็ดขาด คุณทองคำ 300 บาทนี่ สำคัญที่สุด”

“ เงิน 300 บาทนี้ สำหรับ เลี้ยงหัวใจแม่ “ ผมฟังแล้วสะอึก “โอ .. นี่เป็นเงินเลี้ยงหัวใจแม่”


พวกเราเคยได้ยินไหมครับ
ผมนึกว่าให้อาหาร … เสื้อผ้า … เจ็บป่วยก็เอาหมอมารักษา น่าจะพอแล้ว


ท่านบอกว่า “ อาหารกินแล้วก็ไปส้วม เสื้อผ้า เก่าแล้ว ก็เป็นผ้าขี้ริ้ว หมอรักษา ก็รักษาอาการทางกาย สิ่งต่างๆ ที่เราจัดให้นี้ เป็นอาหารกาย แต่ 300 บาทนี่ เป็นอาหารเลี้ยงหัวใจแม่

“หัวใจ ต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้ .. เอิบอิ่ม .. เบิกบาน.. เป็นสุข” คุณทองคำลองนึกดู “คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่ เป็นยังไง ? “หัวใจมันแฟบ” หัวใจมันเหี่ยวเฉา.. เหมือนดอกไม้ยามเย็น”

ใครที่เป็นข้าราชการจะรู้ .. พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยว ๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ ไม่มีเงินค่าอาหาร ไม่มีเงินซื้อข้าวสาร มันเหี่ยวจนไปถึงสิ้นเดือน


แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ … หัวใจท่านเหี่ยว

พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบาน..เหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่น...เบิกบาน...มีความสุข
รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดังฟังชัด


ทุกสิ้นเดือน พอเงินเดือนออก ผมเข้าไปกราบแม่ บอกแม่ว่า วันนี้เงินเดือนออกครับ
ผมนำเงินมาบูชาพระคุณแม่ 300 บาทครับ เอาเงิน 300 บาทใส่มือแม่
แม่ก็ให้ศีล ให้พร ยกหมอนขึ้น เอาเงินวาง แล้ววางหมอนทับ มีความสุข เดือนละ 300 สามสี่เดือน ก็เป็นพันใช่ไหมครับ

แล้วเงินนี่สำคัญยังไง เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?

ท่านเล่าต่อว่าตอนนั้น ท่านมีลูก 2 คนเป็นผู้หญิงทั้งคู่กำลังท้องคนที่ 3
วันหนึ่ง ก็พาเมียไปโรงพยาบาล แม่ถามว่า คลอดหรือยัง? ยังครับแม่
วันต่อมาถามอีก คลอดหรือยังคลอดแล้วครับแม่
ผู้หญิงหรือผู้ชาย? ผู้ชายครับ โอ๊ย...แม่ดีใจจังเลย ได้หลานไว้สืบสกุล


แต่ก่อนทองคำบาทละ 400 อาจารย์รีบไปซื้อทองมาให้
วันรุ่งขึ้นแม่เขาอุ้มลูกขึ้นมาหาย่า ย่ากอดหลานชาย...สวมสายสร้อยให้เป่าหัวให้เสร็จ

พอเด็กคนนี้โต พูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้
คุณย่าซื้อให้…ชี้มือไปที่คนตาบอด
คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่
เพราะเงิน 300 บาท…นี่เสกให้คนตาบอดขลัง
ถ้าคุณย่าไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ?


เห็นไหมครับ ? ไม่ใช่ว่า.. พอโตขึ้น..
มีคนถามว่า..คนนี้เป็นใคร..บอกว่า ...
ยายแก่ตาบอดนี่.. มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่..



เห็นหรือยังคุณทองคำ
เงินเดือนๆ ละ 300 บาทนี่ ทำให้คนแก่ตาบอด กลายเป็นเทพเจ้า


..สร้อยนี่ คุณย่าให้...วันดีคืนดีนะ คุณทองคำ
แม่ครัว ล้างชามเสร็จ คุณย่าก็บอกให้มานวดขาให้
แม่ครัวหน้ามุ่ย ทำงานเหนื่อยจะตายยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำ ๆ หน้าคว่ำ
พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 30 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบานยกมือไหว้ขอบคุณค่ะ
วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จรีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ วันนี้นวด...อีกไหมคะ..คุณย่า


เห็นไหมเงินเดือน300 บาท ที่เราให้แม่เรานี่ มันมีฤทธิ์
มีคน.. มายกมือไหว้ มีคน มาปรนนิบัติ มีคน มานวดให้
ถ้าไม่มีเงินเดือนๆ ละ300 บาทนี้ แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร


ป.ล. บทความนี้ ทองคำ ราคา บาท ละ 400

Sunday, September 27, 2009

สู้...

จิตใจที่แข็งแกร่ง อยู่กับร่ายกายที่แข็งแรง...

เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง...แต่ตอนนี้แก้ตัวให้ทันก่อน Cheer!

Monday, September 21, 2009

แหม-ฮูม

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงเวลาที่จะต้องต่อใบขับขี่รถยนต์ประจำ5ปี มีขั้นตอนต่างๆเพิ่มขึ้น ที่สำคัญทำให้เสียเวลามากขึ้น ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายถ้าอยากลัดขึ้นตอนซึ่งไม่น่าจะมี สมัยก่อนการต่อใบขับขี่ง่ายมากแต่ไม่เร็ว แค่เอาใบเก่าไปยื่นแนบรูป รอซักพัก จ่ายเงินก็ได้บัตรใหม่มาครอง ครั้งสุดท้ายที่ต่อ ผมต่อด้วยวิธีการส่งทางไปรษณีย์ด้วยซ้ำ สบายสุดๆ
ส่วนการต่อใบขับขี่สมัยใหม่ ต้องยื่นเรื่องแล้วมีการอบรมประมาณ 1 ชั่วโมงเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขับขี่ แล้วมาวัดสมรถภาพการตัดสินใจ รวมทั้งประสาทตาคือทดสอบตาบอดสีและการรับรู้ทางหางตาเวลามองกระจกหลัง (ไม่ทราบว่าจะให้ผมเหลือบดูไฟเขียวไฟแดงทางกระจกหลังทำไมครับ มันผ่านมาแล้ว) แต่ทั้งนี้ก็เข้าใจว่าเพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยในการออกใบอนุญาตขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ให้ได้มาตรฐานและแน่ใจว่าผู้ขับขี่มีความพร้อมในการขับขี่

ลองย้อนไปว่าระเบียบใหม่นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่......

สองปีก่อนครับ คือปี 2550

ไม่ใช่เหตุผลเนื่องมาจากการรัฐประหารแน่นอน บิ๊กบังคงไม่ถึงกับต้องรัฐประหารเพื่อออกระเบียบการต่อใบขับขี่แน่นอน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า มีน้องคนนึงขี่เบนซ์ แล้วเกิดไปมีเรื่องกับรถเมล์ แล้วขับรถอย่างไรไม่แน่ใจจนชนประชาชนเสียชีวิต แล้วน้องแกก็ออกอาการช๊อก งึกๆงักๆ งึกๆงักๆ แล้วประชาชนก็ทุบรถน้องคนนั้น หมายจะทำร้ายแบบประชาทัณฑ์ เดชะบุญที่น้องเค้ายังไม่โดน ไม่งั้นท่าจะรอดยาก

จากวันนั้น ส่งผลถึงวันนี้(ก่อนหน้านี้ประมาณปีนึงแล้วล่ะ) กรมการขนส่งจึงมีระเบียบใหม่ให้ตรวจสอบผู้ที่จะขอมีหรือต่ออายุใบขับขี่อย่างละเอียด รวมถึงวัดสมรถภาพการตอบสนองด้วย(เผื่อเอาไว้ผ่าไฟแดง ถ้าเบรคไม่ทัน....ก็กดคันเร่งโลด)

น้องเค้าก็เป็นส่วนหนึ่งในการปรับปรุงมาตรฐานการออกใบขับขี่ในเมืองไทยให้รัดกุมขึ้น(แม้ว่าคนที่ต่อใบขับขี่ 99.99999%จะจิตใจปกติ)


ป.ล. เสียดายทำใบขับขี่ตลอดชีพไม่ทัน

Wednesday, August 26, 2009

Inspiration Story .... beautiful story

A man came home from work late, tired and irritated, to find his 5-year old son waiting for him at the door.

SON: "Daddy, may I ask you a question?"
DAD: "Yeah sure, what is it?" replied the man.
SON: "Daddy, how much do you make an hour?"
DAD: "That's none of your business. Why do you ask such a thing?" the man said angrily.
SON: "I just want to know. Please tell me, how much do you make an hour?"
DAD: "If you must know, I make Rs.100 an hour."
SON: "Oh," the little boy replied, with his head down.
SON: "Daddy, may I please borrow Rs.50?"

The father was furious, "If the only reason you asked that is so you can borrow some money to buy a silly toy or some other nonsense, then you march yourself straight to your room and go to bed. Think about why you are being so selfish. I work hard everyday for such this childish behavior."

The little boy quietly went to his room and shut the door.
The man sat down and started to get even angrier about the little boy's questions. How dare he ask such questions only to get some money?

After about an hour or so, the man had calmed down, and started to think: Maybe there was something he really needed to buy with that Rs.50 and he really didn't ask for money very often. The man went to the door of the little boy's room and opened the door.

"Are you asleep, son?" He asked.
"No daddy, I'm awake," replied the boy.
"I've been thinking, maybe I was too hard on you earlier" said the man.
"It's been a long day and I took out my aggravation on you. Here's the Rs.50 you asked for."

The little boy sat straight up, smiling. "Oh, thank you daddy!" He yelled. Then, reaching under his pillow he pulled out some crumpled up bills. The man saw that the boy already had money, started to get angry again. The little boy slowly counted out his money, and then looked up at his father.

"Why do you want more money if you already have some?" the father grumbled.
"Because I didn't have enough, but now I do," the little boy replied.
"Daddy, I have Rs.100 now. Can I buy an hour of your time?
Please come home early tomorrow. I would like to have dinner with you."

The father was crushed. He put his arms around his little son, and he begged for his forgiveness.

Monday, August 24, 2009

คาถาบูชาเมีย



คาถาบูชาเมีย V1
รักเมียต้องให้เมีย ไม่นั้นเมียจะเสียใจ
รักเมียต้องอ่อนไหว เมียว่าไงต้องว่าตาม
รักเมียต้องเคารพ ต้องประจบห้ามลามปาม
รักเมียต้องคอยตาม ไม่วู่วามเอาแต่ใจ
รักเมียต้องอดทน เมียเป็นคนไม่ง้อใคร
รักเมียต้องทำใจ ใช่เมียใครก็เมียเรา
รักเมียต้องรวยรวย เดี๋ยวจะซวยเมียไม่เอา
รักเมียต้องคอยเฝ้า เฝ้าเมียเราเพียงคนเดียว
รักเมียต้องฝึกฝน เมียเป็นคนชอบของใหม่
รักเมียต้องเอาใจ เมียซื้ออะไรอย่าห้ามปราม
รักเมียต้องแข็งแรง ห้ามสาปแช่งให้เมียตาย
รักเมียต้องคล้อยตาม ไม่ซักถามให้กวนใจ
รักเมียต้องกล้าเสีย แค่บอกเมียไม่เป็นไร
รักเมียต้องสนใจ เมียเป็นไงต้องคอยดู
รักเมียต้องพูดง่าย ไม่โวยวายไม่ลบหลู่
รักเมียต้องเฝ้าดู เดี๋ยวชายชู้จะเอาไป
รักเมียต้องเชื่อฟัง เมียเสียงดังต้องทนได้
รักเมียต้องรู้ใจ เมียอยากได้ต้องหามา
รักเมียต้องใจเย็น เมียนั้นเป็นเช่นนางฟ้า
รักเมียต้องบูชา เมียมีค่ากว่าสิ่งใด
รักเมียต้องรักเดียว อย่าไปเที่ยวรักเมียใคร
รักเมียต้องมั่นใจ เมียของใครก็ของมัน
รักเมียต้องแน่วแน่ ต้องรักแท้เมียของฉัน
รักเมียต้องยึดมั่น ทุกข้อนั้นสำคัญเอย...


คาถาบูชาเมีย V2

รักเมีย ต้องอดทน ต้องเป็นคน เคารพเมีย

รักเมีย ต้องส่งเสีย อย่าให้เมีย ต้องเสียใจ

รักเมีย ต้องรักเดียว อย่าได้เที่ยว ไปรักใคร

รักเมีย ต้องทำใจ ถึงอย่างไร เทอก็เมีย

รักเมีย อย่าขี้เหล้า เมียจะเหงา เราจะเสีย

รักเมีย อย่าอ่อนเพลีย คนรักเมีย ต้องแข็งแรง

รักเมีย อย่ารุนแรง ค่อยๆแซง อย่าขับไว

รักเมีย ต้องยอมเมีย เพราะว่าเมีย ไม่ยอมใคร

รักเมีย ต้องเข้าใจ ไม่มีใคร ใหญ่กว่าเมีย

รักเมีย อย่าเกี่ยงเมีย คำพูดเมีย ใหญ่กว่าใคร

ชาติหน้า มีฉันท์ใด จงจำไว้ อย่ามีเมียยยยย

Sunday, August 23, 2009

เงินเดือน เรื่องตลก


เมื่อวานนี้ ขับรถไปเรียนตอนค่ำๆ ฟังข่าวรับสมัครงาน

งานแรกเจ้าหน้าที่วางแผนบุคลากรของโรงพยาบาลชลบุรี คล้ายๆกับHR วุฒิการศึกษาปริญญาตรีทางด้านบริหาร แต่เป็นลูกจ้างชั่วคราว เป็นเงินของโรงพยาบาลชลบุรี อัตราเงินเดือนประมาณ 5,800บาท

ตำแหน่งต่อมาพนักงานขับรถของหน่วยราชการ ลูกจ้างชั่วคราว วุฒิ ม.3 ขึ้นไปเงินเดือน 6,800บาท


ฟังแล้วก็รู้สึกงงๆ ไม่รู้จะโทรไปถามสถานีวิทยุหรือโทรไปถามโรงพยาบาลดีว่า อยากจะรับนักวางแผนบุคคลที่มีคุณค่าของงานต่ำกว่าคนขับรถหรืออย่างไร


งงว่าจะเรียนกันยากลำบากทำไม จบม.3 ได้เงินเดือนสูงกว่าปริญญาตรี จะบอกว่าเป็นนักวางแผนบุคคลในช่วงแรกแล้วค่อยหาประสบการณ์ไปสมัครบริษัทใหญ่ๆต่อไป ถ้าผมเป็นคนสัมภาษณ์ผมก็คงสงสัยในตัวคนนี้ว่าทำงานอะไร เงินเดือนแต่นี้ คุณค่าของงานจะแค่ไหน กับมูลค่าเดือนละ 5,800บาท เท่านั้น ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดข้อสงสัยเวลาสัมภาษณ์งาน


มองย้อนกลับไปหาหน่วยงานที่รับสมัครและรัฐบาล ทำไมถึงจ้างพนักงานวางแผนบุคลากรด้วยเงินเดือนที่ต่ำนัก ระยะยาวคงไม่มีใครอยากจะทำอาชีพนี้เพราะเงินเดือนน้อย เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาชีพครูในเมืองไทย ที่คนเก่งๆมักไม่อยากเป็นเพราะเงินเดือนน้อย รับผิดชอบเยอะ


มองในแง่เศรษฐศาสตร์ถือว่าขาดทุนอย่างมาก กว่าจะเรียนจาก ม.4 ถึงจบปริญญาตรี ต้องลงทุนไปเท่าไหร่ เสียทั้งเวลาอย่างน้อยเจ็ดปี


ฐานเงินเดือนของบ้านเรามันบิดไปหมดแล้วหรืออย่างไร

Wednesday, July 29, 2009

ความทรงจำ


มีใครเคยเห็นภาพลักษณะนี้กับตัวเองบ้างครับ ผมเคยครับ ครั้งหนึ่งเมื่อตอนเด็ก น่าจะอยู่ช่วงอนุบาล แต่ภาพที่ผมเห็นแตกต่างตรงที่ว่าคนที่ผมเห็นไม่ใช่เด็กแบบในรูป แต่เป็นยายแก่ๆคนหนึ่ง เชื่อเถอะว่าความเวทนาไม่แตกต่างครับ แต่กลับจะยิ่งน่าเวทนามากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกนึกคิดของคนอายุเจ็ดสิบที่เก็บอาหารกับพื้นกิน กับความไร้เดียงสาของเด็กอายุไม่ถึงห้าขวบแบบในรูป
วันหนึ่งผมไปจ่ายตลาดกับแม่ ซึ่งปกติจะไปทุกเช้าวันเสาร์ ตลาดที่ไปเป็นตลาดแถวบ้าน เป็นลักษณะตลาดสด เหมือนทั่วไปในเมืองไทยที่พื้นจะสกปรก การจัดการเรื่องความสะอาดคงไม่ต้องพูดถึง ผมเห็นยายคนหนึ่งน่าจะซักเจ็ดสิบ กำลังก้มเก็บกินผัดหมี่ที่ตกอยู่ที่พื้น กลางทางเดินในตลาด ที่แสนสกปรก แม้แกจะเก็บกินแต่ส่วนที่ไม่โดนพื้นก็ตาม ซึ่งท่าทางไม่ต่างกับในรูปเท่าไหร่นัก ซึ่งไม่แน่ใจว่าของยายหรือของคนอื่น

ช่วงหลังที่อินเตอร์เน็ทเข้ามาในชีวิตประจำวัน forwardเมลเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่เห็นภาพนี้ ผมก็จะนึกถึงยายคนนั้นทุกครั้ง แล้วย้อนนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาจนถึงทุกวันนี้

ผมคิดว่าภาพนี้เกิดจากความเป็นสิ่งมีชีวิตของมนุษย์ ซึ่งต้องเอาตัวรอด ทำได้ทุกอย่างเมื่อหิว หลายคนจะบอกว่า ต่อให้หิวยังไงก็ไม่มีทางเก็บของบนพื้นกินเด็ดขาด คนเหล่านั้นอาจจะยังไม่เคยอยู่ในสภาวะที่กินเพื่อประทังชีวิตครับ ไม่ใช่แค่กินเพื่ออยู่แบบที่พูดกัน แต่เป็นกินกันตาย กินเพราะไม่มีอะไรจะกินอีกแล้ว สิ่งที่มีคือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มี

กลับไปที่ยายคนนั้น แม้แกจะทำไปด้วยสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดด้วยความหิว แต่ภาพนั้นก็ติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้ กว่ายี่สิบปีแล้ว ขอขอบคุณคุณยายที่ช่วยให้ผมได้แง่คิดในการดำเนินชีวิตในวันนั้น และขอบคุณเด็กคนนี้ที่ช่วยย้ำเตือนถึงแง่คิดนั้นครับ

ท่านทั้งหลาย จงสุขใจเถิดที่มีกิน

Sunday, July 19, 2009

Work had done!


ในที่สุดก็สามารถพิชิต Pattaya Marathon ได้สำเร็จระยะทาง42.195 km ด้วยเวลา 5ชั่วโมง 25 นาที 59 วินาที พบเจอสิ่งต่างๆมากมาย ประทับใจมากครับ ตั้งแต่ขับรถไปพัทยา เพิ่งเห็นว่าจุดกลับตัวอยู่หน้าศูนย์พระเำทพ เลยสถานตากอากาศตำรวจออกไปอีก ไกลจริงๆ พอเริ่มออกตัวนักวิ่งประมาณเกือบสองร้อยคน จากการคาดการด้วยสายตา ออกตัวไปพร้อมๆกัน คนส่วนใหญ่รู้จักกัน แซวกันไปแซวกันมา สงสัยยังแรงกันเยอะ มีน้ำให้ทานตลอดทาง บางจุดมีีแตงโมเติมพลัง ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดกลับตัวนั้นก็สิบกว่าโลแล้ว เห็นป้ายหน้าพัทยาเหนือขากลับก็ระยะทาง 22km วิ่งกลับไปยังซอยชัยพฤกษ์ เลยซอยเทพประสิทธิ์ไปอีก แล้วตัดเข้าหาดจอมเทียน แล้ววิ่งเข้าเส้นเทพประสิทธิ์ไปใต้สะพานที่ไปแหลมบาลีฮาย แล้ววิ่งต่อไปยังวอล์กกิ้งสตรีท เข้าเลียบชายหาด จากพัทยาใต้ พัทยากลาง แ้ล้วก็เส้นชัยที่พัทยาเหนือ

ตั้งแต่ช่วงกลับมาพัทยาเหนือจากจุดกลับตัว ก็เริ่มไว้ลาย แล้วการเดินสลับวิ่งบ้างแล้ว เพราะตั้งแต่ซ้อมมาก็ระยะทางมากสุดก็แค่14.5km ฉะนั้นระยะทางกว่า 22km จะเดินก็คงไม่น่าเกลียดสำหรับตัวเอง เส้นทางพัทยาหลายคนบอกว่าโหด เพราะว่าเป็นเส้นทางที่วิ่งขึ้น-ลงเนินตลอดทางจะมีทางราบก็คงช่วงเลียบชายหาดเท่าั้นั้น

ผมลงในรุ่นอายุ 20-29 ปี ประทับใจกับน้ำใจของผู้มาช่วยดูแลงาน ทั้งอาสา พยาบาล และตำรวจ ที่ขยันขันแข็ง แต่ก่อนเคยไปช่วยงานนี้สองครั้ง รู้สึกว่าครั้งนั้นเราไม่ได้ช่วยนักกีฬาเท่าไหร่เหมือนกับที่เจอในวันนี้

และที่ประทับใจอีกอย่างก็คือกองเชียร์ ทั้งที่คนบริเวณนั้นและที่ผู้จัดงานหามา ให้กำลังใจดีมาก หลายครั้งที่เดินหมดแรง กล้ามเนื้อบริเวณข้อพับปวดเมื่อยมาก แต่เห็นคนให้กำลังใจข้างทางแ้ล้วก็วิ่งต่อไปได้(อีกหน่อย)

อีกสิ่งที่ประทับใจคือสังคมของคนวิ่งมาราธอน เหมือนกับว่าเค้าจะรู้จักกันเยอะมาก มาเป็นกลุ่ม ให้กำลังใจกัน แซวกันให้หายเหนื่อย เหมือนกันว่าคนเหล่านี้เดินสายวิ่งทั่วประเทศ เพราะจากที่เห็นก็มีคนใส่เสื้อจ่กหลายที่ เช่น กรุงเทพ อุดรธานี สุโขทัย ขอนแก่น เรียกได้ว่ามาจากทั่วประเทศ แล้วยังได้ยินคนคุยกันว่า แล้ว"ไปเจอกันที่สงขลา" แหมใจรักจริงๆ

ช่วงที่ใกล้เส้นชัยประมาณ 2km เป็นช่วงที่กำลังใจในตัวเองมีสูงมาก คิดว่าเราก็ทำได้นะ ตอนนั้นรู้สึกตื้นตันมาก เหมือนกันจะร้องไห้ด้วยความดีใจและสะใจ ถ้าใครเห็นตอนนั้นก็คงงงว่า นักวิ่งคนนี้ทำไมวิ่งไปยิ้มไปแบบหน้าบาน

สภาพหลังจากวิ่งก็คือแทบเดินไม่ได้ เจ็บข้างเข่าด้านนอกทั้งสองข้าง ยืดขาไม่ได้ พับขาก็ไม่ได้ สุดๆเลยงานนี้

ผลงานที่หวังไว้คือวิ่งเข้าเส้นชัยภายใน6ชั่วโมงเพราะเค้าแจ้งว่าถ้าเข้าก่อน 6 ชั่วโมงจะได้รับเหรียญรางวัลเป็นที่ระลึก แต่ที่ทำได้ เกินคาดคือเพียง 5ชั่วโมง 25 นาที 59 วินาที แต่ที่เกินคาดยิ่งกว่านั้นคือ เหรียญหมดครับ

Tuesday, July 14, 2009

My boss


My current boss is William (his nickname).

Dear Sir,

In this year, I don't know that how much is the achieved target. However I nearly to complete one target as your assigned.

First time, I found you. I ask you about your favorite sport. Your answer is running!!. Oh my god, my boss is not trendy. You come from Europe but does not play golf, football or basketball. I think it so boring to run. It's not exciting, interaction and any strategic. I'm the basketball player. The sport that very exciting, wet, fun and strategic. How I can play that sport with you. It's just step forward, sightseeing and stay with yourself.

Last 4 months, you came to me. And you asked me to join the Pattaya Marathon on 19th July 2009. What is your inspiration? My weight is 84kg and BMI is 28.7. And I have problem on my right knee since last year. However Marathon is my surprise project. How I can join Marathon with 42km. You gave me the training program for prepare myself to marathon just start with walk and short period. So I want to join the Marathon but how come.

Since I agree to join marathon. I start to run for 2-3 km up to 5 km and swim 500m and then up to 1000m within 3 months. I feel the pretty of running. I plan to prepare my body. You gave me a stick of chocolate to test my patient. I reduced to 75 kg as same as first time to join company. I feel the exciting to run. I want to run everyday early morning and evening. I listen many thing during running such as songs, joke, religion, ghost, news. Sometime I downloaded songs from company internet because you assignment is also company work.


Time is too fast, now 5 days to Pattaya marathon. You cancel your competition because you feel not good on your knees and ankels. I understand your feel because everyday we talk about traing and progress of our training. So you postpone to Bangkok Marathon in the end of this year, no problem. However I has to complete your invitation to finish my Pattaya Marathon. Now I can run nearly 15km with not much tired but I hurt my right toe.I hope to finish it.


How do you know that I can do it. You know my mindset more than myself.

Thank you for the inspiration that you gave me last 4 months. It is my big change.


Regards,
Pongtorn T.

Wednesday, June 17, 2009

คนงานหญิง ทำงานหนัก


จากประสบการณ์การทำงานในโรงงาน ประเภทโรงกลั่น ซึ่งมีทั้งงานโยธา ได้แก่ งานทาสี นั่งร้าน ขุดดินก่อสร้าง งานMechanic งานไฟฟ้า และงาน instrument จะพบว่างานโยธา จะมีการใช้แรงงานผู้หญิงอยู่อย่างเห็นได้ชัด

งานโยธาที่ใช้แรงงานผู้หญิงที่เห็นปัจจุบันได้ งานนั่งร้าน คือช่วยขนเหล็กและชิ้นส่วน(ค่อนข้างหนัก) งานทาสี(อันนี้ไม่ค่อยหนัก) และงานขุดดิน (อันนี้ก็หนักเช่นกัน) ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเกิดคำถามในใจว่าทำไมจ้างแรงงานผู้หญิงมาทำงานที่ต้องใช้แรง ยกของก็สู้ผู้ชายไม่ได้ ขุดดิน ขนดีก็สู้ผู้ชายไม่ได้ จะทำให้งานช้า เกะกะ ในจำนวนแรงงานที่เท่ากัน ประสิทธิภาพน่าจะต่ำกว่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ที่หัวหน้าคนงานเป็นผู้ชาย(ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ชาย) ยืนสั่งงานผู้หญิง ขนนู่น ขนนี่ ขุดดิน มันก็ยิ่งแปลกๆ ทำไมผู้ชายไปสั่งผู้หญิงทำงานใช้แรง

อธิบายถึงลักษณะการแต่งตัวของคนงานผู้หญิง ก็จะปิดหน้าตามิดชิด อาจจะเนื่องจาก อากาศที่ร้อน และแดดที่แรง รวมทั้งฝุ่นและไอร้อนจากกระบวนการผลิต

จนเมื่อวานนี้ได้คุมงานก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนของการขุดดิน แล้วก็เผอิญเป็นคนงานผู้หญิงอีกเช่นเคย ซึ่งขณะนั้นก็เย็นแล้วใกล้เวลาเลิกงาน กำลังเก็บงาน เก็บเครื่องมือ ทำความสะอาดพื้นที่ทำงาน แล้วก็รอรถที่จะมารับกลับบ้าน ได้ยินว่าวันนี้จะเลิกแค่นี้แล้ว เหนื่อยแล้ว ทั้งที่งานยังพอมีให้ทำอยู่ ทำล่วงเวลาได้ ก็เกิดความคิดว่า เอาผู้หญิงมาทำงานก็ไม่สู้งานน่ะสิ คงอยากกลับบ้านแล้วมั้ง งานหนักอยางนี้น่าจะเอาผู้ชายมาทำมากกว่า เลยหันไปถามหัวหน้างานว่า พี่ผมสงสัยมานานแล้ว ทำไมถึงจ้างแรงงานผู้หญิง มาทำงานหนักแบบนี้ สู้แรงผู้ชายก็ไม่ได้ คุ้มมั้ยเนี่ย

คำตอบที่ได้เริ่มจากประโยคสั้นๆว่า "แล้วคุณจะให้ผู้หญิงไปทำงานอะไร" แล้วก็ต่ออีกว่า "เ้ค้ามาด้วยกัน ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย ทั้งเด็กวัยรุ่น ก็ต้องหางานให้ทำกันไป" ต่อด้วย "เค้ามากับแบบครอบครัว ผัวมา เมียก็มา จะให้ไปอยู่เฉยๆได้ยังไง ไม่จ้างเมีย ผัวก็ไม่มา เด็กที่อายุไม่ถึงเข้าทำงานไม่ได้ ก็ทำงานเตรียมงานอยุ่ด้านนอก" ปิดท้ายด้วย " เราต้องจ้างงาน ให้เค้ามีรายได้ ไม่งั้นเค้าก็ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน เป็นการกระจายรายได้"

สิ่งที่ได้ยินเข้าถึงส่วนลึกในการเข้าใจในทันที มันไม่ใช่เรื่องแรงงานอย่างเดียวที่เอามาคิดและตัดสินใจ เป็นเรื่องตั้งแต่ มนุษยธรรม การบริหารคน การบริหารงาน รวมทั้งเศรษศาสตร์ เรื่องการกระจายรายได้สร้างงาน ซึ่งสอนกันอยู่ในระดับปริญญาโท

เข้าใจแล้วครับ พี่สุชาติ

Tuesday, May 26, 2009

ทฤษฎีสัมพันธภาพกับสบู่สีม่วง


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ ได้กล่าวถึงมิติอีกมิติหนึ่งนอกจากกว้าง ยาว สูง แบบที่ึคนทั่วไปรู้จัก เค้บอกว่ายังมีอีกมิติหนึ่งนั่นคือ"เวลา" หากเวลาเปลี่ยนแล้วขนาดหรือมิติก็อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

ที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะปะติดปะต่อ สมบูรณ์บ้าง ขาดหายบ้าง แต่ที่อยากจะบอกก็คือของที่เหมาะสมมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาด้วย

เมื่อเดือนที่ผ่านมา ขณะอาบน้ำ(ที่บ้าน)อยู่ ทำให้หวนคิดถึงเมื่อตอนสมัย ป.5 น่าจะประมาณนั้น คุณครูให้ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ ด้วยการทำสบู่ โดยมีส่วนประกอบคุ้นๆว่า น้ำมันมะพ้าว ด่าง(จำไม่ได้ว่า ด่าง หรือขี้เถ้า หรืออะไรซักอย่าง) และสีผสมอาหาร กลุ่มผมไอเดียบรรเจิดมา เพื่อนซื้อสีม่วงมา เด่นเกินหน้ากลุ่มอื่นทีเดียว แล้วอาจารย์ก็ให้ผสมส่วนประกอบต่างๆ แล้วเทลงจาน ซึ่งก็คือแม่พิมพ์ แล้วเราก็จะได้สบู่ทรงแป้นๆตามลักษณะของจาน แล้วก็ตัดแบ่งกันในกลุม เพื่อเอากลับบ้าน ผมจำไม่ได้ว่าเอากลับบ้านหรือว่าทิ้งไว้ที่ไหน สมัยนั้นสบู่สส่วนใหญ่ก็สีขาว สีครีม สีชมพูอ่อน ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล สบายๆ หรือไม่ก็สบู่ตรานกแก้วสีเขียว สบุ่สีม่วงในวันนั้นถึงจะไม่เหมือนใคร ไม่น่าใช้ แต่ก็ยังอยุ่ในความทรงจำเสมอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

จนมาวันนี้ ผมได้เห็นสบู่สีม่วงอีกครั้งที่ห้องน้ำ ย้อนกลับไปสมัยนั้น สบู่มีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ ไม่กี่กลิ่น หากผลิตสีม่วงออกมาก็ไม่รู้จะขายได้หรือเปล่่า จนวันนี้การแข่งขันสูงมา สบุ่มีแทบทุกสีแล้วจนกระทั่งเหลือไม่กี่สีให้เลือก ซึ่งก็ึถึงคิวสบู่สีม่วงของผมซะที

หากวันนั้น เป็นวันนี้สบู่สีม่วงผมคงไม่แปลกเท่าไหร่ แต่จากที่ไอน์สไตน์ได้กล่าวถึงมิติของเวลาไว้ สบู่สีม่วงแสนแปลกของผมในวั้นนั้น กลายเป็นสบู่สีธรรมดาในวันนี้ได้

ซ.ต.พ.

Monday, May 11, 2009

SRCM benefit

จากหลักความคิดของS-RCM เมื่อเอาใช้จะได้งานที่ออกมาอย่างเป็นระบบ มีเหตุผล มีที่มา เช่น ทำไมต้องไปตรวจเครื่องจักรทุกสี่ชั่วโมง ถ้าตอบเหมือนเดิมก็ตอบได้ว่าเครื่องจักรนี้มีความสำคัญต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็จะเกิดคำถามตามมาว่า แล้วทุก4ชั่วโมงเพียงพอหรือเหมาะสมหรือไม่ ทำไมต้อง 4 ชั่วโมง แต่ถ้าตอบแบบS-RCMก็จะตอบได้ว่า เราคาดว่าถ้าเครื่องจักรมีปัญหามันจะเสียภายใน 8 ชั่วโมงดังนั้นควรจะไปตรวจทุกๆครึ่งหนึ่งของเวลาที่จะเสียหาย เพื่อที่จะพบเห็นอาการเครื่องจักรก่อนที่จะเสียหาย อีกกรณีหนึ่งเกี่ยวกับน้ำมันหล่อลื่น พบว่าท่านที่รักรถยนต์มาก อาจจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก่อนที่จะถึงเวลาที่กำหนดเช่นกำหนดที่10,000กม. แต่เปลี่ยนก่อนที่5,000กม. ถ้าพิจารณาในแง่ของผู้ผลิตและประสบการณ์ของเจ้าของรถจะพบว่าผู้ผลิตได้มีการออกแบบมาอย่างดีแล้ว ตั้งแต่ออกแบบ ทำการทดสอบ อ้างอิงมาตรฐาน กว่าจะสรุปได้ว่าสามารถใช้ได้ที่ 10,000กม. สำหรับการใช้งานปกติ ส่วนตัวเจ้าของเองใช้รถไม่เกินสิบปีก็เปลี่ยนแล้ว ถ้ามองในแง่ของค่าใช้จ่ายอาจจะไม่สูงนัก เปลี่ยนทุก 5,000กม.ก็ไม่กระทบเงินในกระเป๋าเท่าไหร่ แต่ผลออกมาก็ไม่ได้แตกต่างจากการดูแลตามที่ผู้ผลิตออกแบบมา ซึ่งก็คือไม่คุ้มนั่นเอง แต่ในทางกลับกันถ้าผู้ใช้งานใช้แตกต่างไปจากการออกแบบของผู้ผลิตเช่นเอาไปแข่งRally อายุของน้ำมันหล่อลื่นก้จะสั้นลงกว่าปกติ การดูแลก็คงจะต้องมากกว่าที่ผู้ผลิตออกแบบมา ในส่วนนี้ก็ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ใช้งานมาประกอบด้วย
เมื่อพิจารณาประโยชน์ของS-RCMกับระบบงานปัจจุบัน ก็จะเห็นว่าเมื่อเราพิจารณาสภาพความคงทนของเครื่องจักรว่าจะทำงานให้ได้ (Reliability) จะพบว่าเครื่องจักรส่วนใหญ่มีReliabilityค่อนข้างสูง ดังนั้นงานการตรวจสอบเครื่องจักรจากS-RCM จะค่อนข้างห่างและน้อยเช่น วันละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง หรือ เดือนละครั้งเท่านั้นเอง ส่วนผู้ทำงานเองก็รู้ถึงความจำเป็นและความสำคัญของงานที่จะทำว่าทำเพื่ออะไร ควรจะดูอย่างไร สำหรับทางผู้ซ่อมก็รู้ว่าควรจะใส่ใจในการดูแลการซ่อมเพียงใด ควรดูแล หรือปล่อยให้เสียไปแล้วค่อยซ่อมหรือหามาเปลี่ยนใหม่

Saturday, May 2, 2009

เริ่มต้นใหม่


วันนี้ได้ไปช๊อปหนังสือใหม่มา 3 เล่ม เป็นของตัวเอง2เล่มและของคนอื่นอีกเล่ม

สองเล่มที่ซื้อมาค่อยข้างแตกต่างกัน คือ หนังสือการเขียนแผนธุรกิจ และ หนังสือเขียนเวบ

หนังสือเขียนแผนธุรกิจเป็นหนังสือที่ช่วยให้วางแผนธุรกิจได้ดีขึ้นและที่สำคัญคือเอามันออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ นั่นก็คือแผนธุรกิจนั่นเอง ในมุมมองส่วนตัวที่ยังอยู่ในหัวก็คือ จริงๆแล้วเรื่องการเขียนแผน ก็เหมือนการบริหาร เป็นสิ่งที่ทุกคนทำกันอยู่แล้ว ทำได้ดีบ้าง ทำได้ไม่ดีบ้าง เรื่องที่เอามาเล่าบางส่วนก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือขาดการจัดระเบียบความคิด

นั่นก็ก็เลยกลายเป็นจุดที่ทำให้เกิดอาชีพนักบริหารขึ้นมานั่นเอง สมัยเรียนเพื่อนบางคนที่เรียนวิศวกรรม อุตสาหการ มักจะโดนเพื่อนๆล้อว่า"เป็ด" เพราะเรียนอันนู้นนิด อันนี้หน่อย หารู้ไม่ เพื่อนๆที่เรียนอุตสาหการนั้นเค้ายังเรียนเรื่องการเป็นหัวหน้าพวกที่ล้อเค้าอีกด้วยนะ อิอิ

ส่วนหนังสือขายเวบ เอาไว้ว่างๆจะเล่าแล้วกันนะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น หนังสือที่ซื้อวันนี้ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ไม่เคยทำ และที่สำคัญเคยคิดว่าจะไม่ทำด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น...

Monday, February 23, 2009

The worst

This time is the worst situation for me. I cannot explain anymore. You don't need to understand me. This is my blog.

Tuesday, January 6, 2009

Introduction to S-RCM


ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2551 บริษัทได้นำระบบการวางแผนการดูแลเครื่องจักรแบบ Shell Reliability Centered Maintenance (S-RCM) เข้ามาใช้ โดยมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องหลักได้แก่ ฝ่ายผลิต(MF), ฝ่ายวิศวกรรม(EN) และ ฝ่ายเทคโนโลยี(TN) ซึ่งเป็นฝ่ายหลักที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตของบริษัท

หลักการดูแลเครื่องจักรนี้เริ่มต้นที่อุตสาหกรรมการบิน เนื่องจากเครื่องบินไม่สามารถผิดพลาดขณะบินได้ ความผิดพลาดของเครื่องบินส่งผลถึงชีวิตของผู้โดยสาร จึงต้องมีการวางแผนการดูแลและการซ่อมบำรุงให้มีประสิทธิภาพโดยที่มีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ซึ่งสมัยก่อนผู้ดูแลมักจะคิดว่าชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องบินต้องถูกเปลี่ยนใหม่ตามกำหนดเวลาเพื่อความมั่นใจในการบิน แต่อัตราการตกของเครื่องบินก็ลดลงได้แค่ระดับหนึ่ง ดังนั้นผู้ดูแลจึงนำมาสาเหตุและอาการการขัดข้องของเครื่องบินวิเคราะห์ จึงพบว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินขัดข้องได้และไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา จึงทำให้มีการตรวจสอบต่างๆเกิดขึ้นมาหลังจากนั้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางการบิน หลังจากนั้นจึงได้มีการวางแผนการดูแลเครื่องบินตามลักษณะของความเสียหายต่างๆให้เหมาะสมกับลักษณะความเสียหายต่างๆ

Reliability Centered Maintenance, RCM ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็อาจจะแปลได้ความว่า การซ่อมบำรุงโดยยึดความเชื่อมั่น(ความไว้วางใจ)เป็นศูนย์กลาง ซึ่งก็อาจจะยิ่งทำให้สับสนกันมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีอีกทางหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจ พิจารณาจากหลักการทำงานของRCM

หลักการของRCMคือการวางแผนการดูแลรักษาให้เหมาะสมกันลักษณะของความเสียหาย(failure mode)ซึ่งแบ่งหลักๆ 2 แบบได้แก่ ขึ้นอยู่กับเวลาหรือแบบสุ่ม(time-base or random) และสามารถรู้ได้หรือไม่สามารถรู้ได้ (Revealed or Unrevealed) ซึ่งหลักนี้จะทำให้เรารู้ได้ว่าเราควรจะดูแลเครื่องจักรอย่างไร

หลังจากนั้นเราก็จะวางแผนการดูแลให้เหมาะสมกับลักษณะการเกิดความเสียหาย เช่น ซ่อมตามเวลา(Time-base), ซ่อมใหญ่ (Overhaul), ซ่อมตามสภาพ (Condition-base), ทดสอบ (Testing) เป็นต้น และจะต้องกำหนดระยะเวลาในการดูแล เช่นทุกวัน, ทุกเดือน, ทุกปี, หรือทุก 5 ปี ขึ้นอยู่กันโอกาสที่จะเกิดขึ้น

จากนั้นแผนการดูแลจะถูกตรวจสอบให้เหมาะสมกับความเสียหาย ซึ่งเพื่อความสะดวกก็จะนำมูลค่าความเสียหายกับค่าใช้จ่ายในการดูแลมาเปรียบเทียบกัน เช่นความเสียหาย 10,000 บาท หากต้องการไม่ให้เกิดความเสียหายต้องมีค่าใช้จ่ายมูลค่า 1,000 บาท ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คุ้มค่าที่จะดูแล แต่ถ้าค่าใช้จ่ายในการดูแลคิดเป็น 20,000 บาทแล้ว การดูแลก็ไม่คุ้มที่จะดูแล อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลใหม่ให้เหมาะสม หรืออาจจะต้องยอมให้ความเสียหายนั้นเกิดขึ้น

และสุดท้ายความแตกต่างของRCM กับ S-RCM ก็คือการที่Shell ได้นำหลักการ RCM มาพัฒนาให้เป็นรูปธรรม ให้เหมาะกับอุตสาหกรรมของShell สามารถใช้งานได้สะดวกและง่ายขึ้น